
25
Sep
ญี่ปุ่น
วัดกินคะคุจิ (Ginkauku-ji) สัมผัสเสน่ห์เซนที่วัดเงินแห่งเกียวโต
วัดเงินแห่งเกียวโต (Ginkauku-ji): ไม่ได้มีแค่ความงามที่ถูกทิ้งไว้แต่ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยปรัชญาเซน สัมผัสความสงบเรียบง่ายที่แตกต่างจากความอลังการของวัดทองคินคะคุจิ (Kinkaku-ji) และค้นพบความงามที่แท้จริงในความไม่สมบูรณ์ที่วัดกินคะคุจิ
เที่ยว 'วัดเงิน' กินคะคุจิ: เมื่อความงามไม่ได้อยู่ที่ความหรูหรา แต่อยู่ที่ปรัชญาเซนอันลุ่มลึก
เมื่อพูดถึงเกียวโต ใคร ๆ ก็ต้องนึกถึง วัดทอง คิงคะคุจิ (Kinkaku-ji) ที่โดดเด่นเป็นประกายกลางแสงแดด แต่ยังมีอีกหนึ่งสถานที่สำคัญที่เป็นเหมือนคู่ขนานทางปรัชญา นั่นคือ วัดเงิน กินคะคุจิ (Ginkaku-ji) หรือชื่อทางการว่า จิโชจิ (Jishō-ji) ที่แม้จะไม่มีแผ่นเงินหุ้มตามชื่อ แต่กลับซ่อนความงามอันลุ่มลึกและเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแบบญี่ปุ่นอย่างแท้จริง

เส้นทางประวัติศาสตร์จากเรือนรับรองสู่ศูนย์กลางแห่งปรัชญา
ดแห่งนี้ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นวัดตั้งแต่ต้น แต่เป็นเรือนพักตากอากาศส่วนตัวของโชกุนอาชิกางะ โยชิมาสะ ในช่วงปลายศตวรรษที่ 15 โชกุนผู้ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะผู้รักในศิลปะและวัฒนธรรม ได้ตั้งใจจะสร้างที่นี่ให้เป็นสวรรค์บนดินของตัวเอง และมีแผนที่จะหุ้มตัวอาคารด้วยแผ่นเงิน เพื่อให้สะท้อนแสงจันทร์ยามค่ำคืน แต่สุดท้ายแผนการดังกล่าวก็ไม่ได้ถูกทำให้สำเร็จ เนื่องจากโชกุนได้เสียชีวิตลงก่อน

ความ "ไม่สมบูรณ์" นี้เองที่ทำให้กินคะคุจิกลายเป็นสัญลักษณ์อันทรงคุณค่าของปรัชญา วาบิ-ซาบิ (Wabi-Sabi) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับความงามจากความเรียบง่าย ความไม่สมบูรณ์แบบ และความไม่จีรัง หรือความงามที่เกิดขึ้นตามกาลเวลา การที่ตัวศาลาไม่ได้ถูกหุ้มด้วยแผ่นเงิน ทำให้เราได้เห็นเนื้อไม้เดิมที่ผุกร่อนไปตามกาลเวลา และความงามนี้เองที่กลายเป็นเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์

หลังจากการเสียชีวิตของโชกุน โยชิมาสะ เรือนพักแห่งนี้จึงถูกเปลี่ยนสถานะให้เป็นวัดในนิกายเซน ตามความประสงค์ของเขา และกลายเป็นศูนย์กลางของ วัฒนธรรมฮิกาชิยามะ (Higashiyama Culture) ซึ่งเป็นยุคที่ศิลปะแขนงต่างๆ เฟื่องฟูอย่างมาก เช่น การจัดดอกไม้แบบอิเคบานะ, พิธีชงชา, การจัดสวน และการแสดงละครโนห์ ซึ่งศิลปะเหล่านี้ล้วนได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากปรัชญาเซน และทำให้กินคะคุจิไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยว แต่เป็นต้นกำเนิดของวัฒนธรรมที่สำคัญหลายอย่างของญี่ปุ่น

สวนที่บรรจบระหว่างศิลปะกับธรรมชาติ
แม้จะไม่มีศาลาสีเงินที่ส่องประกาย แต่กินคะคุจิก็มีเสน่ห์ที่น่าค้นหาและตรึงตราใจผู้มาเยือนอย่างยิ่ง เพราะที่นี่คือการรวมกันของธรรมชาติและศิลปะแบบเซนที่ลงตัวที่สุด การเดินสำรวจสวนภายในบริเวณวัด จึงเป็นเหมือนการเดินทางสำรวจจิตวิญญาณที่สงบไปด้วย

หนึ่งในจุดเด่นที่สะกดสายตาที่สุดคือ สวนหินแห้ง (Dry Sand Garden) ที่มีลวดลายทรายสีขาวที่ถูกจัดแต่งอย่างพิถีพิถันให้เป็นลวดลายคลื่น และกองทรายขนาดใหญ่รูปทรงกรวยคล้ายภูเขาไฟฟูจิ ที่เรียกว่า "กินชะดาน (Ginshadan)" ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่การตกแต่ง แต่เป็นการจำลองความงามของธรรมชาติในรูปแบบศิลปะแบบเซน

ส่วนของ สวนมอส (Moss Garden) จะพาคุณเข้าสู่โลกแห่งความเขียวชอุ่มและชุ่มชื้น สวนมอสที่ปกคลุมทั่วบริเวณ ทำให้เกิดความรู้สึกสงบ ร่มรื่น และเยือกเย็น ยิ่งเมื่อเดินไปตามเส้นทางเดินเท้าก็จะพบกับลำธารและบ่อน้ำ เคียวโคจิ (Kyoko-chi Pond) ที่สะท้อนเงาของต้นไม้และศาลาได้อย่างงดงาม ราวกับเป็นภาพวาดที่มีชีวิต

ความต่างที่สร้างเสน่ห์: วัดเงินและวัดทอง
หากวัดทอง คิงคะคุจิ เป็นตัวแทนของความรุ่งโรจน์ อำนาจ และความมั่งคั่งที่แสดงออกอย่างเปิดเผย วัดเงิน กินคะคุจิ ก็เป็นตัวแทนของความงามที่อยู่ภายใน ความมั่งคั่งทางจิตวิญญาณ และความสงบที่ไม่ต้องปรุงแต่ง การได้ชมวัดทั้งสองแห่งนี้จึงเป็นเหมือนการได้เห็นสองขั้วตรงข้ามที่สะท้อนแก่นแท้ของปรัชญาญี่ปุ่นได้อย่างสมบูรณ์

การเดินทางไป กินคะคุจิ จึงไม่ได้เป็นเพียงการเยี่ยมชมสถานที่ทางประวัติศาสตร์ แต่เป็นการเปิดโอกาสให้เราได้หยุดพักจากความวุ่นวายและสัมผัสความงามในความเรียบง่ายที่ไม่สมบูรณ์แบบ เป็นบทเรียนที่สอนให้เราเห็นว่าความงามที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องหรูหราหรือสมบูรณ์พร้อมเสมอไป แต่สามารถซ่อนอยู่ในทุกรายละเอียดที่เงียบสงบได้

หากคุณมีโอกาสเดินทางไปเกียวโต อย่าลืมแวะไปเยี่ยมชมและดื่มด่ำกับมนต์เสน่ห์อันเงียบสงบของ วัดเงิน แห่งนี้ เพื่อค้นพบความงามที่มากกว่าแค่สิ่งที่ตาเห็นและนำความสงบกลับไปเป็นของที่ระลึกที่ล้ำค่า
